การคำนวณเพื่อประมาณราคาไม้ยาง ในสวนยางพาราก่อนโค่น
ผลิตภัณฑ์จากยางพารา - ไม้ยางพาราแปรรูป | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เขียนโดย Nattawadee Siriprasomsab | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วันจันทร์ที่ 09 กันยายน 2013 เวลา 10:57 น. | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การคำนวณเพื่อประมาณราคาไม้ยาง ในสวนยางพาราก่อนโค่น วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางให้เกษตรกรประมาณราคาไม้ยางได้ด้วยตนเอง เป็นข้อมูลอ้างอิงป้องกันการกดราคาซื้อจากพ่อค้าหรือนายหน้าที่มาซื้อไม้ยาง
ก่อนถึงวิธีคำนวณราคาไม้ยาง ขอทำความเข้าใจก่อนว่า ไม้ยางพาราแต่ละสวนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ และเชิงการบริหารจัดการ ทำให้ราคาไม้ยางในสวนยางพาราแต่ละสวนมีราคาแตกต่างกัน ปัจจัยที่มีผลทำให้ราคาไม้ยางสูงหรือต่ำ มีดังต่อไปนี้ 1. สถานที่ตั้งสวน ติดถนน ใกล้หรือไกลจากโรงงาน หากติดถนนจะได้ราคาที่สูงกว่า เพราะการทำไม้ไปขายของพ่อค้าง่ายและเร็วกว่า สวนอยู่ใกล้โรงงานได้ราคาสูงกว่า เพราะต้นทุนการทำไม้ต่ำลง
2. ราคาตลาด และฤดูกาล สองอย่างนี้มีความสัมพันธ์กันกล่าวคือ ในช่วงฤดูฝนราคาไม้ยางมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากสวนยางที่อยู่ห่างจากถนนไม้ยางไม่สามารถออกสู่ตลาดได้ เพราะรถบรรทุกไม้ยางติดหล่ม ตรงกันข้ามกับฤดูแล้งที่ไม้ยางออกสู่ตลาดได้เต็มที่ทั้งที่ควนเขาหรือไกลจากถนน ทำให้ราคามีแนวโน้มลดต่ำลง ตามกลไกตลาด 3. จำนวนต้นยาง ตายมาก / น้อย การตีราคาไม้ยางคิดเป็นไร่ละ ซึ่งโดยปกติจะคิด 70 ต้นต่อไร่ หากต้นยางตายมาก เช่น เหลือไม่ถึง 50 ต้นต่อไร่ การตีราคาต่อไร่ก็จะต่ำลง 4. น้ำหนักไม้ยาง เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ได้ราคาสูงหรือต่ำ แต่ทั้งนี้น้ำหนักไม้ยางมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง 3 อย่าง ดังนี้ a. พันธุ์ยาง ต้นยางขนาดเดียวกันแต่คนละพันธุ์ มีน้ำหนักไม่เท่ากัน เช่น ยางพื้นเมือง(ยางบ้าน) พันธุ์GT1 และพันธุ์ RRIM600 ยางพื้นเมืองหนักที่สุด รองลงมาคือGT1 และRRIM600 เบาที่สุด (พันธุ์ที่ให้น้ำยางยิ่งมาก แนวโน้มน้ำหนักไม้ยิ่งเบา) b. ลักษณะดิน ไม้ยางในดินเหนียวมีน้ำหนักสูงกว่าไม้ยางในดินทราย (ขนาดต้นเท่ากัน) c. ขนาดต้นยาง เป็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุด ที่บ่งบอกถึงน้ำหนักไม้ยาง ซึ่งการคิดคำนวณราคาไม้ยางใช้เกณฑ์นี้เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นขนาดต้นยางเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เจ้าของสวนยางต้องให้ความสำคัญ กล่าวคือ ต้องดูแลรักษาสวนยางให้ถูกต้องตั้งแต่ปลูกจนถึงโค่น เช่น ระยะปลูกที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่งที่ถูกต้อง การกำจัดวัชพืชที่ดี การใส่ปุ๋ยบำรุงอย่างเพียงพอ การเปิดกรีดตามที่แนะนำ ใช้ระบบกรีดถูกต้อง และแรงงานกรีดที่มีฝีมือ สิ่งเหล่านี้ทำให้ต้นยางก่อนโค่นมีคุณภาพสูง
ปกติการประเมินราคาของพ่อค้าหรือนายหน้าที่มาขอซื้อจะคิดคำนวณปริมาณไม้ที่ 70 ต้น/ไร่ และนับเฉพาะไม้ยางที่ได้ขนาดหรือ “ไม้เกรด” เท่านั้น ไม้เกรดของพ่อค้ากับไม้เกรดของโรงงานมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ “ไม้เกรด” ของพ่อค้า คือต้นยางที่ยังไม่โค่น วัดขนาดที่ความสูงประมาณ 160 เซนติเมตร ได้เส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไป หากต้นใดไม่ได้ขนาดจะเป็นไม้ตกเกรด หรือไม้ฟืน ซึ่งราคาต่ำ และพ่อค้าจะไม่เพิ่มราคารับซื้อสำหรับไม้ตกเกรด ส่วน“ไม้เกรด” ของโรงงาน คือไม้ยางที่ตัดเป็นท่อนแล้ว วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ตั้งแต่ 6 นิ้วขึ้นไป ซึ่งสามารถนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้ ส่วนท่อนที่ไม่ถึง 6 นิ้ว คือไม้ตกเกรด ก็จะนำไปทำไม้ลัง/พาเลซ/ไม้อัด เป็นต้น
มีคำถามบ่อยครั้งว่า สวนยางที่ใช้สารเร่งน้ำยางโดยการอัดแก๊ส ขายไม้ยางไม่ได้ หรือขายได้แต่ได้ราคาต่ำ เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์แล้วว่าไม้ยางที่ผ่านการอัดแก๊สแล้ว ไม้ยางไม่เสียคุณสมบัติ โรงงานรับซื้ออย่างแน่นอน และโรงงานชอบด้วยซ้ำไป แต่คนที่ไม่ชอบคือพ่อค้าที่มาซื้อไม้ กระผมขออธิบายเพิ่มเติม กล่าวคือ โรงงานซื้อไม้ยางจากพ่อค้าชั่งเป็นกิโลกรัม แต่เมื่อแปรรูปแล้ว ขายเป็นปริมาตร (ลูกบาศก์นิ้ว) ซื้อไม้น้ำหนักมากก็ต้องจ่ายแพง ซื้อไม้น้ำหนักเบาก็จะจ่ายถูก แต่ได้ปริมาตรไม้เท่ากัน ขณะที่พ่อค้าคิดประมาณน้ำหนักไม้ แล้วซื้อเหมาทั้งสวน นำไปขายโรงงานชั่งเป็นกิโลกรัม หากไม้ที่นำไปขายโรงงานน้ำหนักเบากว่าปกติ ก็อาจจะขาดทุนหรือกำไรลดลง คำกล่าวที่ว่า ไม้ที่ผ่านการอัดแก๊สน้ำหนักไม้จะเบาลงจากปกติ เป็นเรื่องจริง ทั้งนี้เนื่องจากสารเร่งน้ำยางมีผลทำให้เกิดกระบวนการดึงน้ำ และอาหารที่สะสมในต้นยางไปสังเคราะห์น้ำยางเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เรื่องนี้จึงทำให้พ่อค้าไม้หลายราย กดราคาไม้ยางที่ผ่านการอัดแก๊สเพราะกลัวทำไม้ขาดทุนนั่นเอง มีคำถามต่อว่าจะทำอย่างไรให้ขายไม้ยางอัดแก๊สให้ได้ราคาปกติ มีนักวิชาการแนะนำว่าการหยุดอัดแก๊สเร่งน้ำยางประมาณ 3 เดือน จะทำให้น้ำหนักไม้ยางกลับมาเป็นปกติ แต่ก็ยังไม่มีผลการวิจัยออกมายืนยันอย่างชัดเจนครับ ทีนี้มาถึงการคำนวณราคาไม้ยางกันซะที ก่อนคิดคำนวณเพื่อประมาณราคาไม้ยางได้นั้น จำเป็นต้องมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน เพื่อประกอบการคิดคำนวณ ดังนี้ 1. ราคาไม้ยาง ไม้เกรด ปัจจุบันตันละประมาณ 2 – 3 พันบาท ไม้ฟืน ปัจจุบันตันละประมาณ 500 – 700 บาท 2. ค่าแรงทำไม้ รวมค่าขนส่งถึงโรงงาน ปัจจุบันเหมาจ่ายตามน้ำหนักไม้ที่ส่งโรงงาน ตันละ 400 บาท 3. ค่าทำทาง (กรณีสวนยางไม่ติดถนน) จำนวนเงินไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการตกลงกัน 4. ค่าผ่านทาง ค่าอนุญาตนำไม้ออกจากสวน (ธรรมเนียมในบางท้องถิ่น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครอง จำนวนเงินไม่แน่นอน
วิธีการคิดคำนวณใช้วิธีการเดียวกับพ่อค้าหรือนายหน้าที่มาขอซื้อไม้ยาง คือการวัดขนาดต้นยาง เพื่อหาน้ำหนักไม้ แล้วนำมาคำนวณราคาซื้อขาย กระผมขอใช้ตัวอย่างในการอธิบาย ตัวอย่าง : สวนยาง 3 ไร่ ขนาดใกล้เคียงกันทุกต้น วัดขนาดรอบต้นได้ 83 เซนติเมตร ที่ความสูง 160 เซนติเมตร วิธีคิด 1. หาน้ำหนักต้นยางทั้งหมดในสวนยาง จากตารางภาคผนวก ได้เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว น้ำหนักต้นละ 590 กิโลกรัม (0.59 ตัน) คิด 70 ต้น / ไร่ ฉะนั้น 3 ไร่ เท่ากับ 210 ต้น X 0.59 ตัน = 123.9 ตัน เพราะฉะนั้น ไม้ยาง 3 ไร่ มีน้ำหนักไม้ทั้งหมดประมาณ 124 ตัน 2. คูณราคาหน้าโรงงาน สมมติ หน้าโรงงานประกาศราคา กิโลกรัมละ 2.40 บาท (ตันละ 2,400 บาท) เพราะฉะนั้น 124 ตัน X 2,400 บาท = 297,600 บาท 3. หักค่าแรงทำไม้ (ค่าเลื่อย แบกขึ้นรถ ขนส่งโรงงาน) ค่าแรงทำไม้ปัจจุบัน ตันละ 400 บาท ฉะนั้น 124 ตัน X 400 บาท = 49,600 บาท เพราะฉะนั้น 297,600 – 49,600 = 248,000 บาท 4. หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (ถ้ามี) เช่น ค่าทำทาง , ค่าผ่านทาง ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายไม่แน่นอน สมมติต้องเสียค่าผ่านทาง และค่าทำทาง รวม 20,000 บาท เพราะฉะนั้น 248,000 บาท – 20,000 บาท = 228,000 บาท 5. ต้องบวกกำไรให้ผู้รับซื้อ (ถ้าผู้ซื้อไม่ได้กำไร ก็คงไม่ซื้อให้เหนื่อยเปล่า) ปกติผู้ซื้อจะได้กำไร ไร่ละ 1 – 2 หมื่นบาท ตัวอย่างนี้บวกกำไรให้พ่อค้าไร่ละ 10,000 บาท เพราะฉะนั้น 228,000 บาท – 30,000 บาท = 198,000 บาท 6. สรุป ตกไร่ละ 66,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เจ้าของสวนตามตัวอย่างนี้ควรจะได้รับ ข้อพิจารณาเพิ่มเติม 1. น้ำหนักไม้ฟืนหรือไม้ตกเกรด จะไม่นำมาคิดคำนวณ เนื่องจากมีกำไรไม่มาก กล่าวคือ ไม้ฟืนราคาตันละ 600 บาท แต่ต้องหักค่าทำไม้ไปแล้ว ตันละ 400 บาท เหลือกำไรแค่ตันละ 200 บาท รถกระบะบรรทุกได้เที่ยวละประมาณ 3 ตัน กำไรรวมเที่ยวละ 600 บาท ใน 1 วันทำไม้ฟืนได้แค่ 1 เที่ยว/วัน/คัน เพราะทำไม้ฟืนเต็มรถช้ากว่าไม้เกรด ยิ่งตอนไม้ฟืนราคาตกยิ่งไม่ได้กำไรอะไรเลย เพราะค่าแรงเท่าเดิม
2. การวัดขนาดต้นยาง ไม่จำเป็นต้องวัดทุกต้น วัดต้นใหญ่ 1 ต้น ต้นขนาดกลาง 1 ต้น ต้นขนาดเล็ก 1 ต้น แล้วนำมาคูณกับจำนวนต้นที่ขนาดใกล้เคียงกัน แล้วแต่กรณี แต่หากขนาดต้นยางในสวนยาง มีขนาดโต และเล็ก แตกต่างกันมาก ในการคำนวณน้ำหนักควรวัดขนาดต้นยางทุกต้น เพื่อความแม่นยำในการคิดคำนวณ
3. การทำสัญญาซื้อขายไม้ยาง ปกติการซื้อขายไม้ยางจะมีการทำสัญญากัน ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้เกิดความสบายใจทั้ง 2 ฝ่าย แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เกษตรกรเกิดปัญหา กล่าวคือ ทำสัญญาจ่ายเงินมัดจำไว้ แล้วไม่ยอมมาโค่น ยื้อเวลาจนเจ้าของสวนเดือดร้อน เลยระยะเวลาปลูกใหม่ เกิดความเสียหาย เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันปัญหา ในสัญญาต้องระบุให้ชัดว่าจ่ายเงินมัดจำเท่าไหร่ และกำหนดวันโค่นให้ชัดเจน หากไม่โค่นภายในเวลาที่กำหนด จะทำอย่างไร เช่น ยกเลิกสัญญา เป็นต้น โอกาสนี้ ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับ คุณพันลภ จันทรัตน์ อดีตผู้ประกอบการไม้ยางพารา ปัจจุบันเป็นผู้จัดการสหกรณ์วังใหญ่ปุ๋ยอินทรีย์พัฒนา จำกัด อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ในการอนุเคราะห์ข้อมูล ตารางน้ำหนักไม้ยาง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการคิดคำนวณน้ำหนักไม้ยาง รายละเอียดที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งในเนื้อหาการฝึกอบรมเจ้าของสวน หลักสูตรการจัดการสวนยางก่อนโค่น ของ สกย.จ.สงขลา เขต 2 มีไฟล์ Power Point จำนวน 1 ไฟล์ ประกอบการบรรยาย พสย. ท่านใดสนใจสามารถนำไปปรับปรุงให้เหมาะสมและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ครับ กระผมหวังว่าเรื่องนี้น่าจะมีประโยชน์กับเจ้าของสวนยาง และผู้ที่สนใจทั่วไป หากผิดพลาดประการใดในองค์ความรู้ที่ได้เสนอมา ยินดีรับฟังข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นของทุกท่าน เพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงต่อไป ไสว ทองล้วน คณะทำงานจัดการองค์ความรู้ สกย.จ.สงขลา เขต2
ภาคผนวก ตารางน้ำหนักไม้ยาง
ที่มา : คุณพันลภ จันทรัตน์ ผู้จัดการสหกรณ์วังใหญ่ปุ๋ยอินทรีย์พัฒนา จำกัด |
หน้าที่เข้าชม | 483 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 351 ครั้ง |
เปิดร้าน | 7 มิ.ย. 2565 |
ร้านค้าอัพเดท | 12 ต.ค. 2568 |